ชื่อ : คะน้าฮ่องกง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Brassica oleracea L.
ชื่อวงศ์ : Brassicaceae
ชื่อสามัญ : Chinese Kale
ชนิด/ประเภท | ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ลำต้นและใบมีสีเขียวเข้ม ใบมีลักษณะเรียว ไม่กลม ลำต้นมีขนาดเล็กกว่าคะน้ายอด ดอยคำ กรอบ ไม่เป็นเสี้ยน ดอกมีสีขาวหรือสีเหลืองทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ |
ราก | ราก มีระบบรากแก้ว มีลักษณะกลมเล็กๆ มีรากฝอยๆ จะมีสีน้ำตาล |
ต้น | ลำต้น มีลักษณะกลมๆ จะมีลำต้นเดี่ยว จะมีก้านใบยาว โดยรอบๆ อยู่ห่างๆบนต้นของคะน้า จะมีสีเขียวนวล |
ใบ | ใบ มีลักษณะมีใบกว้างใหญ่ จะมีสีเขียวนวล ก้านใบยาว ใบจะออกแข็งๆ |
ดอก | ดอก ออกเป็นช่อ ก้านช่อดอกยาว ก้านช่อดอกเป็นก้านโดด มีลักษณะช่อดอกแบบซี่ร่ม รองรับช่อดอกเล็กๆ ไว้ดอกจะมีสีขาว |
เมล็ด | เมล็ด มีลักษณะกลมๆ มีขนาดเล็กๆ มีสีดำ |
การกระจายพันธุ์ : ต้นกำเนิดจากประเทศจีน
การเพาะปลูก : การเตรียมกล้า มี 2 วิธี คือ เพาะเมล็ดในกระบะที่มีส่วนผสมระหว่างทราย : ขุยมะพร้าว : หน้าดิน อัตราส่วน 2 : 1 : 1 ต้นกล้ามีอายุประมาณ 5 วัน ย้ายลงถาดหลุมที่ใช้วัสดุเพาะและหยอดเมล็ดลงในถาดหลุมเพาะกล้าโดยตรง หลังจากต้นกล้ามีอายุประมาณ 18 – 21 วัน หรือมีใบจริงอย่างน้อย 2 – 3 ใบ จึงทำการย้ายปลูก
การเตรียมดิน : ขุดดินลึก 10 - 15 ม. ตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 7 – 14 วัน โรยปูนขาวหรือโดโลไมท์อัตรา
100 กรัม/ตร.ม. ขึ้นแปลงกว้าง 1 – 1.2 ม.หรือตามสภาพพื้นที่ ใส่ปุ๋ยรองพื้นปุ๋ยคอก (มูลไก่) หรือปุ๋ยหมักอัตรา 3 กก./ตร.ม. และหว่านปุ๋ย 15 – 15 – 15 อัตรา 120 กรัม/ตร.ม. ผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน
การปลูก : ย้ายปลูกเมื่อต้นกล้าอายุ 18 – 21 วัน ในกรณีที่ต้องการเก็บหน่อข้าง ฤดูร้อน (ไม่เกิน 28 องศาเซลเซียส) 30 x 30 ซม. ฤดูฝนและหนาว 30 x 40 ซม. เก็บเกี่ยวครั้งเดียวควรใช้ระยะปลูก 25 x 25 ซม.
การให้น้ำ : ให้น้ำแบบสปริงเกอร์
การให้ปุ๋ย: ในระยะแรกจึงต้องการปุ๋ยไนโตรเจน ค่อนข้างสูงใส่ปุ๋ยครั้งแรก 7 วัน หลังปลูก ใส่ปุ๋ยสูตร
46 – 0 – 0 15 – 15 – 15 อัตรา 1 : 2 ผสมกัน ใช้อัตรา 120 กรัม/หรือ 21 – 0 – 0 อัตรา 120 กรัม/ตร.ม.
ใส่บริเวณโคนต้น ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 หลังปลูก 14 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 46 – 0 – 0 ผสมตร.ม และใส่ปุ๋ยครั้งที่ 3 หลังย้ายปลูก
21 วัน ใช้ปุ๋ยสูตร 30 – 20 – 10 อัตรา 20 กรัม/20 ลิตร
การเก็บเกี่ยว : เริ่มเก็บหลังจากย้ายปลูกประมาณ 45 – 50 วัน หรือช่อดอกตูม ทำการเก็บเกี่ยวโดยใช้มีดคมตัด แล้วทาปูนแดงบริเวณรอยตัด ตัดแต่งใบให้เหลือเฉพาะใบที่หุ้มส่วนของดอก 1 – 2 ใบ คัดผลผลิตที่ไม่ได้ชั้นคุณภาพออกทำความสะอาดบริเวณที่เปื้อนดิน จัดเรียงในภาชนะบรรจุให้พอดี ควรระวังการสูญเสียน้ำ และควรลดอุณหภูมิลงให้เหลือ 2 – 3 องศาเซลเซียส และขนส่งด้วยรถห้องเย็นหรือใส่กล่องโฟม ที่มีน้ำแข็งหรือเจลไอซ์
การเจริญเติบโต : การเพาะกล้าในช่วงอุณหภูมิต่ำ หากย้ายลงแปลงที่อุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย ต้นกล้าจะแทงช่อดอกในขณะยังเล็ก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงเพาะกล้าในที่มีอุณหภูมิต่ำ สำหรับอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการปลูกและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพควรอยู่ในช่วง 15 – 28 องศาเซลเซียส สำหรับดินที่เหมาะสมต่อการปลูกควรเป็นดินร่วน มีความอุดมสมบูรณ์สูง การระบายน้ำดี ก่อนปลูกควรใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพื่อปรับโครงสร้างดิน โดยทั่วไปค่าความเป็นกรด – ด่างของดินที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 5.5 – 6.5 ดินมีความชื้นสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรแฉะเกินไปและควรได้รับแสงอย่างพอเพียง
ประโยชน์ : นิยมนำมาผัด หรือนำมาเป็นเครื่องเคียงกับอาหารประเภทยำ มีวิตามินเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ และนอกจากนั้นยังมีวิตามินซี และแคลเซียมมาก ช่วยป้องกันหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคกระดูกบางช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ