ชื่อ : สวิสชาร์ด
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Beta vulgaris L.
ชื่อวงศ์ : Amaranthaceae
ชื่อสามัญ : Sweet chard
ชนิด/ประเภท | ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ลักษณะของใบหยิกเป็นคลื่น ก้านใบมีขนาดใหญ่และแบน มีหลากหลายสีตามแต่ชนิดและสายพันธุ์ เช่น สีเหลือง สีขาว สีเขียว และสีแดง เป็นต้น |
การกระจายพันธุ์ : มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป ชอบอากาศหนาวเย็น เป็นที่นิยมปลูกกันทั่วไป ในหลายประเทศ มีปลูกหลายสายพันธุ์ มีประโยชน์สรรพคุณ ทางยาหลายอย่าง ใช้รับประทานเป็นผักสลัด นำมาประกอบอาหารเมนูต่างๆ ได้หลายเมนู
การเพาะปลูก : วิธีการเพาะเมล็ดสวิสชาร์ดเริ่ม ด้วยการนำเมล็ดซึ่งจะมีจำหน่ายในร้านขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรทั่วไป มาแช่ในน้ำอุ่นที่ประมาณ 50 องศา ประมาณ 1 คืน กรณีที่ผู้ปลูกต้องการเพาะลงดิน ให้ผึ่งเมล็ดให้แห้งนำมาเพาะในถาดเพาะ โดยใช้วัสดุเพาะ เช่น พีทมอสผสมขุยมะพร้าว ซึ่งก็มีจำหน่ายโดยทั่วไปเช่นกัน จากนั้นรดน้ำทุกวันตอนเช้า และคลุมด้วยผ้าพลาสติก ประมาณ 7-14 วัน เมล็ดจะเริ่มงอก ถ้าเพาะโดยแช่น้ำอุ่นไม่นานหรือนำไปเพาะโดยไม่แช่น้ำอุ่นให้เมล็ดอิ่มน้ำก่อนนั้น เมื่อนำไปเพาะเมล็ดจะใช้เวลาในการงอกประมาณ
12-24 วัน สำหรับการปลูกแบบไฮโดรฯ ก็ให้นำเมล็ดที่แช่น้ำแล้ว 1 คืนมาห่อด้วยผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ ใส่ในถุงพลาสติก แล้วใส่กล่องถนอมอาหารเอาไว้อีกชั้น 1-4 วันแรกให้นำกล่องถนอมอาหารไปตากแดดให้อุณหภูมิในกล่องสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น เมื่อนำลงปลูกในภาชนะแล้วควรรดน้ำทุกวันเช้าและเย็น ประมาณ 50-60 วันหลังการเพาะเมล็ด
การเจริญเติบโต : สวิสชาร์ดเป็นพืชที่ปลูกง่ายสามารถปลูกแบบไฮโดรโพนิกส์หรือปลูกลงกระถางขนาดเล็กก็ได้เป็นพืชที่ทนต่ออากาศร้อน
ประโยชน์ : สวิสชาร์ดมีปริมาณวิตามินเคสูงมาก หากรับประทานสวิสชาร์ด 35 แคลอรี่ ร่างกายจะได้รับวิตามันเคมากกว่าปริมาณขั้นต่ำที่ควรได้รับต่อวันถึง 300% และมีวิตามินเอมากกว่า 100% นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันมะเร็ง ทำให้สายตาดีขึ้น และยังได้รับวิจามินอี ที่หาได้ยากจากพืชชนิดอื่นจำนวนมากนิยมบริโภคส่วนใบและก้าน ต้นอ่อนนิยมรับประทานสด ส่วนต้นมีขนาดใหญ๋ นิยมนำมาลอกก้านใบออก หั่นเป็นชิ้นๆแล้วนำมาต้ม แล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ใช้ทำสตู ตุ๋น ชุบแป้งทอด ผัดหรือทำแกงต่างๆ ใบอ่อนสามารถนำมารับประทานสดในสลัดได้อีกด้วย