ชื่อ : มะเขือม่วงญี่ปุ่น
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Solanum melongena L.
ชื่อวงศ์ : Solanaceaeเ
ชื่อสามัญ : Aubergine ,Brinjal Eggplant
ชนิด/ประเภท | ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่มล้มลุก |
ต้น | ลำต้น สูงประมาณ 1.50 เมตร มีขนนุ่มปกคลุมและมีหนามเล็กๆ แต่ไม่มาก |
ใบ | ใบ เป็นแบบใบเดี่ยว รูปร่างกลม ปลายแหลม โคนใบเบี้ยว ขอบใบหยักหรือเป็นคลื่น มีขนหนาสีเทาที่ด้านล่างใบ |
ดอก | ดอก สีม่วง มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ถึง 3 เซนติเมตร บาน 2 ถึง 3 วัน ผล มีขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายหยดน้ำ ผิวเรียบสีม่วงเข้ม เมล็ด มีขนาดเล็กสีน้ำตาล อยู่ภายในผลเป็นจำนวนมาก |
ผล | ผลมีลักษณะทรงกลมถึงรูปหยดนํ้า ก้านผลมีสีเขียว เนื้อในมีลักษณะแน่นและนุ่ม ผิวผลมีสีม่วง เนื่องจากมีสารแอนโทไซยานินมีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระ |
การกระจายพันธุ์ : มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย มีปลูกกันในหลายประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยมีปลูกหลายสายพันธุ์ มีประโยชน์และสรรพคุณ ทางยาหลายอย่าง ใช้ผลอ่อนนำมาประกอบอาหาร เมนูต่างๆได้หลายเมนู
การเพาะปลูก : ไถพรวนดิน และตากดินไว้ 7 วัน หว่านโดโลไมท์ หรือปูนขาวในอัตรา 100 กิโลกรัม ต่อ 1 ไร่ หรือตามสภาพดิน และอาจใช้ปุ๋ยอินทรีย์หว่านหลังแปลง ในอัตรา 100 – 200 กิโลกรัม ต่อไร่ ขึ้นแปลง หลังแปลงปลูกควรกว้าง 100 ถึง 120 เซนติเมตร ร่องทางเดินกว้าง 100 เซนติเมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 100 เซนติเมตร
การปลูก : ปลูกแบบแถวเดี่ยว ขุดหลุม รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ และฟูราดานคลุกเคล้าให้เข้ากัน
ปักไม้หลัก(ไม้หลักควรมีความยาวไม่ต่ำกว่า 1.50 เมตร )
รดน้ำในหลุมปลูกเมื่อน้ำซึมจนหมดแล้วจึงทำการปลูกโดยให้สูงกว่าหลังแปลง 1 ถึง 2 นิ้ว และห่างจากไม้หลัก 2 นิ้ว
การดูแลหลังการปลูก
การให้น้ำ : ต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ หลังย้ายต้นกล้า ทุกวันๆ ละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น เมื่อกล้าตั้งต้นดีแล้ว ให้รดน้ำวันละครั้งหรือเลือกการให้น้ำ โดยทำร่องแปลง และให้ตามร่องแปลงสัปดาห์ละ 1 ถึง 2 ครั้ง ถ้าดินแห้ง ให้ปล่อยน้ำเข้าร่องแปลง หรือรดน้ำที่หลุมปลูก
การให้ปุ๋ย : หลังปลูกต้นกล้าลงแปลง 3 สัปดาห์ ให้ใส่ปุ๋ยหลังจากนั้น ให้ใส่ปุ๋ยทุก 2 สัปดาห์เมื่อต้นมะเขือเริ่มออกดอก ให้ใส่ปุ๋ยทุกๆ 20 วัน
การกำจัดวัชพืช : เมื่อมีวัชพืชเกิดขึ้นในแปลงปลูก หรือทุกครั้งก่อนการใส่ปุ๋ย ให้กำจัดวัชพืช
การตัดแต่งกิ่งและตัดผล : มะเขือม่วงญี่ปุ่นออกดอกแรก หลังจากดอกบาน ให้เด็ดกิ่งแขนง โดยเว้นกิ่งแขนงใต้ดอกแรกไว้ กิ่งแขนงถัดมาให้เด็ดออกให้หมด ดอกในกิ่งแขนงที่เก็บไว้ จะบานในเวลาใกล้เคียงกัน เมื่อติดผล จะคัดเลือกผลที่สมบูรณ์แข็งแรงไว้เพียง 5 ถึง 6 ผลต่อต้น
การเจริญเติบโต : เจริญเติบโตได้ในดินทั่วไป แต่ถ้าจะให้ได้ผลดีควรเป็นดินร่วนปนทราย ดินอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี สภาพความเป็นกรด-ด่างที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 6.0 ถึง 6.8
ประโยชน์ : ลำต้นและรากสด นำมาต้มน้ำจนเดือด ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว หรือตำคั้นเอาน้ำล้างแผลเน่าเปื่อยได้
ใบแห้งป่น เป็นผงชงน้ำร้อนดื่มครั้งละครึ่งแก้วแก้โรคบิด แก้ปัสสาวะขัด หนองใน
ดอกสด หรือใบแห้งเผาไฟให้เป็นเถ้าแล้วบดละเอียดเป็นยาแก้ปวดฟัน
ผลแห้ง ทำเป็นยาแก้ปวด แก้ตกเลือดในลำไส้ ขับเสมหะ
ผลสด ผ่าพอก หรือปิดบริเวณแผลอักเสบ ฝีหนอง หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง เม็ดผื่นคัน